รุด กุลลิต คือ นักฟุตบอลที่เก่งที่สุด ในช่วงยุคปี 80-90 กุลลิตได้รางวัลบัลลง ดอร์ ปี 1987 เขาเป็นกัปตันพาทีมกังหันสีส้มฮอลแลนด์ เถลิงแชมป์ ยูโร 1988 อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับคว้าอันดับสอง บัลลง ดอร์ ในปีเดียวกัน เนื่องจากเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์ เก่งตั้งแต่เกิด ทำให้เจ้างูเก็งก็อง (ชื่อเรียกยุคนั้น อันมาจากทรงผมสุดฮิปของเขา) เล่นได้หลากหลายตำแหน่ง ไล่ตั้งแต่ กองหน้า กองกลาง จนถึง กองหลัง
ที่จริงแล้ว ด้วยสาเหตุที่ ทีมชาติฮอลแลนด์ เป็น ต้นกำเนิดของโททั่ล ฟุตบอล รูปแบบฟุตบอลสมัยใหม่ มันจึงไม่แปลกที่ ผู้เล่นฮอลแลนด์ในยุคสมัยนั้น จะสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง แต่กรณีของ รุด กุลลิต มันพิเศษกว่าใคร ตรงที่เขาสามารถเล่นได้หลากหลาย และ ทำได้ดี ในทุกๆตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ให้ลงไปประจำการ ช่วงเริ่มต้นเล่นฟุตบอล รุด กุลลิต สตาร์ทจากการเป็นกองหลัง ในบทบาทสวีปเปอร์ (หรือในเวลาต่อมาเรียกกันว่า ตำแหน่ง ลิเบอโร เป็นรูปแบบหนึ่งของเซ็นเตอร์แบ็ก โดยเปรียบเสมือนเป็น ตัวกวาด ตัวสุดท้ายหน้าผู้รักษาประตู ตำแหน่งนี้มีอิสระในการเล่นสูงกว่าเซ็นเตอร์แบ็กปกติที่มีหน้าที่ประกบตัวชัดเจน สวีปเปอร์ต้องมีทักษะในการอ่านเกมสูงที่สุดในทีม และส่วนมากจะเป็นบุคคลสำคัญหรือเป็นกัปตันของทีม) และเขาสามารถสร้างชื่อได้อย่างรวดเร็ว จากแนวทางการเล่นที่ สร้างสรรค์เกม จากแนวลึก รุด กุลลิต อยู่เหนือยุคสมัยของ ฮอลแลนด์ ที่เชื่อในแนวทางการ ต่อบอล เพราะ กุลลิต เก่งในด้านการ เลี้ยงพาบอลไปกับตัวจากนั้นเขาก็ถูกขยับขึ้นมาเล่นเป็น กองหน้า และ พอย้ายไป เฟเยนูร์ด เขาก็เล่นเป็น ปีกขวา โดยช่วงหนึ่งตอนที่เขาอยู่กับ เฟเยนูร์ด รุด กุลลิต มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้กับ โยฮัน ครัฟฟ์ นักฟุตบอลและโค้ชที่โด่งดังที่สุดตลอดกาลของฮอลแลนด์ และ คำแนะนำที่สำคัญ ซึ่ง เทวดาลูกหนัง มอบให้กับเขา นั่นคือ ถ้าย้ายไปทีมใหญ่ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการแน่ใจว่า อำนาจในการเล่น อยู่ที่เรา
จากนั้นในปี 1985 รุด กุลลิต ย้ายมาอยู่กับ พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น และ เขาทำตามที่ โยฮัน ครัฟฟ์ บอกเอาไว้ นั่นคือทำให้ตัวเองเป็น แกนนำอำนาจของทีม
โดยเริ่มต้นจาก เขาแนะนำให้ทีมเปลี่ยนสีชุดแข่ง เพราะของเดิมใส่แล้วดูไม่น่าเกรงขาม รวมทั้งเขาเป็นคนคอยประสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมเวลาที่มีปัญหากัน และที่เจ๋งสุดยอดคือ เขาโน้มน้าวโค้ชให้ปรับแผนการเล่นของทีม ให้เอื้อกับการเล่นของตนเอง (ทั้งที่ไม่ใช่กุนซือ) แสดงให้ถึงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำของเขาและการยอมรับของสต๊าฟโค้ชและเพื่อนร่วมทีม เขาดันตัวเองให้ลงเล่นในตำแหน่ง สวีปเปอร์ โดยให้เหตุผลว่า เขาสามารถทำลายเกมของคู่แข่งและสามารถขึ้นเกมเองได้จากหลักแนวคิดของเขาผลงานกับพีเอสวี เขาพา พีเอสวี คว้าแชมป์ลีก 2 สมัยซ้อน ใน 2 ฤดูกาลที่เขาเล่นอยู่กับทีม โดยยิงประตูได้ 46 ลูก(ในเกมลีก) ช่วงที่มาเล่นใน อิตาลี กับ เอซี มิลาน เขาพา ปีศาจแดง-ดำ เอซีมิลาน ได้สคูเด็ตโต้ 3 สมัย และแชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 2 สมัย และนี้คือจุดเริ่มต้นตำนานของ รุด กุลลิต ด้วยการผนึกกำลังกับ 3 ทหารเสือ รุด กุลลิต, มาร์โก ฟาน บาสเทน และแฟรง ไรการ์ด
ทว่าด้วยความที่ เอซี มิลาน ยุคนั้น มีแผงแนวรับที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว 4 คน คือ เปาโล มัลดินี่ , เมาโร ทัสซอตติ , ฟรังโก้ บาเรซี่ และ อเลสซานโดร คอสตาร์คูต้า ทำให้ กุลลิต ถูกดันขึ้นมาเล่นเป็น มิดฟิลด์ตัวรุก หมายเลข10 และตำแหน่งกองหน้า ซึ่งสองตำแหน่งนี้ เขาก็สามารถทำมันออกมาได้ดีอีกเช่นกัน แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ รุด กุลลิต ก็ยังยืนยันว่า เขาชอบเล่นตำแหน่ง สวีปเปอร์ มากที่สุด เพราะมันสามารถดึงศักยภาพสูงสุดในตัวเขาออกมา ตอนที่ เชลซี ดึงตัวเขาไปเล่นให้ ในปี 1995 เหตุผลที่ทำให้ รุด กุลลิต ตกลง นั่นเพราะ เกล็น ฮอดเดิ้ล โค้ชเชลซีสมัยนั้น ให้สัญญาว่าจะมอบบทบาท สวีปเปอร์ ให้ รุด กุลลิต ได้เล่น
มีเรื่องตลกร้ายที่เกิดขึ้น ก็คือในยุคนั้นวงการฟุตบอลอังกฤษ ไม่มีใครรู้จักว่า ตำแหน่งสวีปเปอร์ คืออะไร มันมีความสลักสำคัญอะไร เพราะตอนนั้นวงการฟุตบอลอังกฤษ ส่วนใหญ่จะเล่นแผน 4-4-2 กองหลัง 4 ตัว กองกลาง 4 ตัว และ กองหน้า 2 ตัว ดังนั้นกรณีที่จะมีตำแหน่งสวีปเปอร์ ยืนเหนือกองหลังแต่ต่ำกว่ากองกลาง หลายคนในยุคนั้นก็จะนึกไม่ออก ขนาด นักข่าว ที่มาสัมภาษณ์เขา แล้วถูกเขาตอบว่า เขาจะเล่นในตำแหน่ง สวีปเปอร์ นักข่าวยังออกอาการเหวอเล็กน้อยส่วนในสนามแข่งขัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ เชลซี โดนบุกใส่ และ รุด กุลลิต พักบอลลงเล่นบริเวณหน้าเขตโทษตัวเอง แล้วก็บรรจงถ่ายบอลออกด้านกว้าง
ตอนนั้นเขาโดน ไมเคิ่ล ดูเบอร์รี่ ด่าด้วยความฉุนเฉียวเต็มที่ ทำนองว่า เขากำลังทำอะไรอยู่ นั่นเพราะในธรรมชาติของฟุตบอลอังกฤษ กองหลัง มีหน้าที่แค่สาดบอลทิ้งไปให้ไกลที่สุดให้พ้นหน้าประตูเท่านั้น แต่ในกรณีของ รุด กุลลิต นั้นแตกต่างออกไป เขาจะเก็บบอลไว้ แล้วลำเลียงบอลจากหลังขึ้นไปหน้า น่าเสียดายที่ เซนส์ฟุตบอล ของ รุด กุลลิต ล้ำหน้าเพื่อนไปไกลเกิน ทำให้ เพื่อนร่วมทีม ต่างก็ไม่เข้าใจการเล่นของเขา ส่งผลให้ ตามจังหวะเกมที่รังสรรค์โดย รุด กุลลิต ไม่ทัน
รุด กุลลิต เล่าว่าหน้าที่ของเขาคือการแย่งบอลกลับมา แล้วขึ้นเกมด้วยการจ่ายบอลสวยๆออกด้านกว้าง ทั้งแบ็คขวา และ ซ้าย เพื่อขึ้นเกมต่อ ปัญหามันอยู่ที่เรื่องเดียวเลยก็คือ ผู้เล่นฟูลแบ็ค ไม่อยากได้ลูกส่งจากเขา เพราะมองว่าแบ็คแค่ทำหน้าที่เพียงป้องกันเท่านั้น การขึ้นเกมหรือเติมเกมบุกเป็นหน้าที่ของกองกลางและกองหน้าเท่านั้น
โดยช่วงที่เขาย้ายมาทีมเชลซี ในปี 1985 นั้น ถือว่าเป็นช่วงบั้นปลายของอาชีพของกุลลิต แล้ว โดยเขาใช้เวลาเพียง 1 ฤดูกาลในปี 1986 เขาก็ขึ้นมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมพ่วงกับตำแหน่งผู้เล่นไปด้วย และเขาก็พาสิงห์บูลคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ไปครองได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเป็นแชมป์แรกของสโมสรหลังจากรอคอยมายาวนานถึง 26 ปี จากนั้นเขาก็ประกาศแขวนสตั๊ดในปีถัดมา เหล่านี้ คือ ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่บอกว่า ทำไม รุด กุลลิต จึงเป็น ตำนานนักฟุตบอลสมัยใหม่ที่ผู้คนยังคงยกย่องอยู่เสมอ ไม่ว่าผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม